งานแข่งเรือออกพรรษาสองฝั่งโขง ไทย–ลาว จังหวัดมุกดาหาร นอกจากเสียงกลอง เสียงโห่ เสียงเชียร์ที่ดังสนั่นแม่น้ำโขงแล้ว อีกหนึ่งพิธีกรรมสำคัญที่สืบทอดกันมาช้านานก็คือ “พิธีตีช้างน้ำนอง”
ในการจัดงานประเพณีแข่งเรือออกพรรษาสองฝั่งโขง ไทย -ลาว ของจังหวัดมุกดาหารในอดีต หลังจากเสร็จจากการประกอบพิธีบวงสรวง สักการะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว จึงได้จัดให้มีการแข่งขันเรือ หรือที่เรียกว่า ส่วงเฮือ ซึ่งเป็นเรือที่ชาวบ้านขุดจากไม้ตะเคียนต้นเดียว สาเหตุที่ใช้ต้นตะเคียน เชื่อว่ามีความคงทนต่อการกัดกร่อนของน้ำ จึงใช้เป็นเรือพายได้ดี มีความทนทาน การแข่งขันในสมัยนั้น จะทำการแข่งขันพร้อมกันทุกลำครั้งเดียว เที่ยวเดียว จะไม่มีการแข่งขันเที่ยวละลำ สองลำ เหมือนในปัจจุบัน โดยการแข่งขันนั้น จะให้เรือทุกลำที่เข้าแข่งขัน ไปพร้อมกัน ณ ท่าน้ำ จุดใดจุดหนึ่ง ซึ่งอยู่ทาง เหนือกองพิธีการจัดงานขึ้นไปพอประมาณมองเห็น เมื่อเรือแข่งทุกลำพร้อม เรือไม่ได้เปรียบเสียเปรียบกันมากนัก เป็นที่ยอมรับกันแล้ว กรรมการจากกองพิธีการ ก็จะส่งสัญญาณ โดยการตีกลอง หรือฆ้อง ซึ่งได้ยินในระยะไกลจากฝั่ง ฝีพายเรือก็จะเริ่มพายล่องลงมาตามลำน้ำโขง ผ่านหน้ากองพิธีการ โดยมีประชาชนมาเฝ้าชม ให้กำลังใจอยู่บนฝั่งเป็นจำนวนมาก
การพายเรือสมัยนั้นไม่มีนกหวีดคุมจังหวะ หากแต่ใช้เสียงโห่ เซิ้ง หรือการตีเกราะ กลอง และฆ้องเป็นจังหวะ ฝีพายมิได้เร่งความเร็วเต็มที่เกรงเรือจะกระทบกัน แต่กลับเล่นเชิงสนุก ใช้ไม้พายตักน้ำสาดใส่กัน น้ำที่กระจายระยิบระยับต้องแสงแดดยามเช้า เกิดเป็นภาพสวยงามดั่งช้างโขลงกำลังเล่นน้ำในลำน้ำโขง เสียงโห่ร้องและเกลียวคลื่นซัดกระทบฝั่งชวนให้ผู้เฒ่าผู้แก่เปรียบเปรยว่า “เหมือนตีช้างลงเล่นน้ำ จนน้ำนอง” คำเปรียบนี้จึงกลายมาเป็นชื่อพิธีกรรมที่สืบทอดเรื่อยมาจนปัจจุบัน
พิธีตีช้างน้ำนอง มีในวันที่ 6 ตุลาคม 2568


