#ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ และแสงไฟ
บางครั้งวัตถุปริศนาบนท้องฟ้าก็อาจมีที่มาธรรมดากว่าที่คิด จนเราเผลอมองข้ามไป หนึ่งในความเข้าใจผิดที่เกิดขึ้นบ่อย คือการสับสนระหว่างแหล่งกำเนิดแสงนิ่ง ๆ เช่น ดาวเคราะห์ ดาวฤกษ์ หรือแม้แต่แสงจากเสาไฟถนน สาเหตุหนึ่งมาจากดวงตาของมนุษย์ที่มักกลอกไปมาโดยไม่รู้ตัว โดยเฉพาะเมื่อแหล่งกำเนิดแสงลอยอยู่สูง ไม่มีสิ่งอ้างอิงใกล้เคียง จึงอาจรู้สึกเหมือนแสงนั้นมีการเคลื่อนที่กลับไปมาคล้ายโดรนได้ ทั้งที่จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงจากการขยับของศีรษะ ดวงตา หรือกล้องถ่ายภาพที่สั่นไหว อีกทั้งการตั้งค่ากล้องไม่เหมาะสมก็อาจทำให้แสงดูสว่างผิดปกติหรือพร่าไหวได้เช่นกัน หนึ่งในวัตถุที่ทำให้เกิดความสับสนบ่อยที่สุด คือ “ดาวศุกร์” ซึ่งในช่วงที่ปรากฏห่างจากดวงอาทิตย์และมีความสว่างมาก มักถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวัตถุประหลาดหรือแม้แต่โดรนได้บ่อยครั้ง รวมถึงกลุ่มดาวต่าง ๆ ที่ปรากฏบนท้องฟ้าในแต่ละช่วงเวลาด้วย โดยเฉพาะในช่วงฤดูหนาวที่สภาพอากาศปลอดโปร่ง ปราศจากเมฆ จะมีดาวสว่างปรากฏเป็นจุดแสงบนท้องฟ้าสังเกตเห็นอย่างชัดเจนมากกว่าฤดูอื่น
#วิธีสังเกต: แสงสว่างค่อนข้างคงที่ ไม่เคลื่อนที่เมื่อดูเทียบกับวัตถุบนพื้น ในกรณีเป็นดาวฤกษ์ในกลุ่มดาวต่าง ๆ สามารถตรวจสอบเบื้องต้นด้วยการสังเกตดาวฤกษ์อื่นในบริเวณใกล้เคียงว่าเรียงตัวกันเป็นกลุ่มดาวใด หรือใช้แอปพลิเคชันดูดาวช่วยตรวจสอบได้
ดาวเทียมมักปรากฏเป็นแสงสว่างค่อนข้างคงที่ เคลื่อนที่ช้าในทิศทางเดียว เนื่องจากสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ จึงสามารถสังเกตได้ในช่วงหลังดวงอาทิตย์ตกหรือก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น ขณะที่ในวงโคจรยังได้รับแสงอาทิตย์อยู่ บางครั้งแผงสุริยะของดาวเทียมอาจสะท้อนแสงได้ในมุมพอดี ทำให้เห็นเป็นแสงวาบชั่วครู่ก่อนจะค่อย ๆ หรี่ลง และเมื่อเข้าสู่เงามืดของโลก แสงจะจางลง อาจเปลี่ยนเป็นสีแดงก่อนหายไปในที่สุด ดาวเทียมส่วนใหญ่มีความสว่างไม่มากนัก แต่ดาวเทียมขนาดใหญ่ เช่น สถานีอวกาศนานาชาติ (ISS) หรือสถานีอวกาศเทียนกง อาจมีความสว่างสูงจนทำให้ผู้ที่ไม่คุ้นเคยเข้าใจผิดหรือรู้สึกตื่นตระหนกได้
#วิธีสังเกต: แสงสว่างคงที่ เคลื่อนที่อย่างช้า ๆ แต่อาจเร็วกว่าเครื่องบิน และเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงไปในทิศทางเดียว
ดาวตกคือก้อนหิน อุกกาบาต หรือแม้แต่วัตถุที่มนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งลุกไหม้ขณะพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศโลก แต่ละวัน มีดาวตกขนาดใหญ่พอที่จะหลงเหลือเป็นก้อนอุกกาบาตตกถึงพื้นโลกประมาณ 17 ลูก อย่างไรก็ตาม ดาวตกส่วนใหญ่จะเผาไหม้หมดก่อนถึงพื้นผิวโลก ส่วนดาวตกที่สว่างพอให้สังเกตเห็นได้ด้วยตาเปล่านั้นเกิดขึ้นบ่อยกว่ามาก โดยอาจพบได้ตั้งแต่ไม่กี่ลูกต่อชั่วโมง ไปจนถึงหลายร้อยลูกต่อชั่วโมงในช่วงที่เกิดฝนดาวตก ดาวตกจะเคลื่อนที่เป็นเส้นตรงด้วยความเร็วสูงกว่าทั้งเครื่องบินและดาวเทียม โดยทั่วไปจะปรากฏเพียงเสี้ยววินาที แต่ในบางกรณี ดาวตกที่สว่างมากอาจกลายเป็นลูกไฟและลุกสว่างได้นานหลายวินาที
#วิธีสังเกต: จุดสว่างที่ลุกวาบขึ้น และหายไป เคลื่อนที่ข้ามท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว กินเวลาเพียงเสี้ยววินาที จนถึงไม่กี่วินาที
เครื่องบินเป็นหนึ่งในวัตถุที่ผู้คนมักเข้าใจผิดว่าเป็นโดรนได้ง่ายที่สุด วิธีสังเกตเครื่องบินอย่างง่ายคือดูการกระพริบของไฟ อย่างไรก็ตาม หากเครื่องบินบินตรงเข้าหาผู้สังเกต แสงไฟหน้าอาจกลบไฟกะพริบ ทำให้แยกแยะได้ยากขึ้น เครื่องบินพาณิชย์ทุกลำนั้นจะติดไฟนำร่องตามมาตรฐาน ได้แก่ ไฟสีเขียวที่ปีกขวา สีแดงที่ปีกซ้าย และไฟสีขาวด้านหลัง ปกติจะมีการจัดวางไฟในระยะห่างกันพอสมควร จึงสามารถสังเกตรูปแบบได้เมื่ออยู่ในระยะใกล้ แต่หากอยู่ไกล แสงเหล่านี้อาจดูรวมกันเป็นจุดเดียว อีกวิธีในการแยกแยะเครื่องบิน คือสังเกตทิศทางการเคลื่อนที่ที่คงที่และมีแบบแผน โดยเฉพาะเครื่องบินที่ขึ้น-ลงใกล้สนามบิน มักจะเคลื่อนที่ไปในทิศเดียวกันตามรันเวย์และทิศลม ส่วนเครื่องบินที่บินสูงมากจะเคลื่อนที่ดูช้าลง วิธีที่แม่นยำที่สุดในการยืนยันว่าเป็นเครื่องบิน คือการตรวจสอบตำแหน่งและเวลาเปรียบเทียบกับแอปพลิเคชัน เช่น Flightradar24 ซึ่งแสดงข้อมูลเที่ยวบินจริงบนท้องฟ้าแบบเรียลไทม์
#วิธีสังเกต: ไฟกระพริบ เคลื่อนที่ช้า ๆ ไม่ค่อยเปลี่ยนทิศทาง ตรวจสอบว่าเป็นเครื่องบินได้จากการดูตำแหน่งในแอปพลิเคชัน
โดรนมักติดไฟสีเขียว แดง และขาว คล้ายเครื่องบิน แต่ตำแหน่งของไฟมักอยู่ใกล้กันเป็นกลุ่ม จึงดูเป็นจุดสว่างกระจุกเดียว โดยเฉพาะเมื่อมองจากระยะไกล แยกไฟแต่ละดวงได้ยาก จุดต่างสำคัญของโดรนคือความสามารถในการบินแบบอิสระ สามารถเปลี่ยนทิศทางได้อย่างฉับพลันและไม่เป็นแบบแผน ซึ่งเป็นลักษณะที่ต่างจากเครื่องบินโดยสิ้นเชิง หากโดรนอยู่ใกล้พอ อาจสังเกตเห็นการเคลื่อนที่แบบกระตุกหรือเลี้ยวอย่างรวดเร็ว และมักได้ยินเสียงใบพัดร่วมด้วย
#วิธีสังเกต: ไฟสี่ดวงกระจุกใกล้ ๆ กัน มีสีเขียวและแดง อาจลอยอยู่นิ่ง ๆ หรือเปลี่ยนทิศทางได้อย่างรวดเร็ว คาดเดาไม่ได้ หรืออาจได้ยินเสียงใบพัดหากโดรนอยู่ใกล้